เค เค บิวติ คลอรอยบอส

เค เค บิวติคลอรอยบอส

(ยิ่งกว่าคลอโรฟิลล์  3 IN 1)

ประกอบด้วย 3 ส่วนประกอบหลัก ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง ดังนี้

1. คลอโรฟิลล์จากพืชกระกูลถั่ว อัลฟัลฟ่า นำมาสกัดเป็น โซเดียม คอปเปอร์ คลอโรฟิลล์ลิน

2. สารสกัดจากชาแดงรอยบอส  (Rooibos Tea)

3. สารสกัดจากข้าวโพด มอนโตเดร็กซ์ติน (Moltodextrin)

ให้ผลลัพธ์ที่ดี ต่อสุขภาพ ดังนี้

•  ช่วยขับล้างสารพิษในร่างกาย ในตับ ในกระแสเลือด
•  ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น
• ปรับสมดุล กรด ด่าง ในร่างกาย
• ลดกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นกายปัสสาวะ อุจจาระ และกลิ่นเท้า
• ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายและโรคมะเร็ง ต่างๆ
• เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
• ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
• ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ขาวสดใส
• ต้านอนุมูลอิสระ ชลอความเสื่อมของเชลล์ ซึ่งเป็นต้นเหตุของการแก่ก่อนวัย
• ช่วยให้เม็ดเลือดแดงส่งออกซิเจนไปสู่อวัยวะต่างๆ ในร่างกาย      ได้ดียิ่งขึ้น
• ทำให้สดใส ไม่อ่อนเพลียง่าย
• เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้มีภาวะโลหิตจาง โรคเบาหวาน
•  

1. คลอโรฟิลล์จากพืชกระกูลถั่ว อัลฟัลฟ่า

สารประกอบที่ทำให้พืชมีสีเขียว หน้าที่หลักคือ สังเคราะห์แสง

ด้วยการเปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และแร่ธาตุต่างๆ จากดิน ให้กลายเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อพืช

                มีการค้นคว้าเกี่ยวกับการทำงาน หรือปฏิกิริยาของคลอโรฟิลล์ต่อคน พบว่า คลอโรฟิลล์ที่อยู่ในเชลล์พืชทั่วไปจะถูกปกป้องด้วยผนังหรือเยื่อหุ้มเชลล์ ทำให้ระบบย่อยอาหารของเราไม่สามารถบดย่อยสะลายได้ 

                ถึงแม้ว่าเราจะบริโภคผักใบเขียวเป็นจำนวนมาก็ตาม อีกทั้งคลอโรฟิลล์นั้น ละลายน้ำไม่ได้ จะละลายได้ในไขมัน หรือในแอลกอฮอล์

บางรูปเท่านั้น

                ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน  เราสามารถสกัดเฉพาะสารคลอโรฟิลล์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์และบริสุทธิ์ โดยไม่สูญเสียคุณค่าทางอาหาร อีกทั้งยังเป็นคลอโรฟิลล์ชนิดละลายน้ำได้  จึงถูกดูดซึมได้ทันทีตั้งแต่ในกระเพาะอาหาร

ในกรณีที่ร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกขับทิ้งทางระบบขับถ่าย ไม่สะสมไว้ในร่างกาย

                โครงสร้างโมเลกุลของคลอโรฟิลล์มีลักษณะใกล้เคียงกับเม็ดเลือดแดงของคน ต่างกันเฉพาะตรงกลางที่คลอโรฟิลล์มีแมกนีเซียม Mg ขณะที่เม็ดเลือดแดงมีเหล็ก Fe จึงทำให้คลอโรฟิลล์มีสีเขียว ด้วยเหตุนี้คลอโรฟิลล์จึงถูกเรียกว่า เลือดของพืช ( Blood of Plant )

ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มากมาย สรุปตรงกันว่า คลอโรฟิลล์สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ จนทำให้ผู้วิจัยได้รับรางวัลโนเบลถึง 2 ท่าน คือ ดร.ริชาร์ท วินสเตตเตอร์ ( Dr. Richard Winstater ) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออสเตเรีย ปี คศ. 1915 และ ดร.ฮันส์ ฟิชเชอร์

 ( Dr. Hans Fisher M.D. ) นายแพทย์ชาวเยอรมัน ปี คศ. 1930

            จากการวิเคราะห์คลอโรฟิลล์ในพืชมากกว่า 6,000 ชนิด ทั้งจากในน้ำและบนบก พบว่า

พืชที่ให้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์และปริมาณสูงที่สุด คือ อัลฟัลล่า               

สรุป ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์ คือ ต้านอนุมูลอิสระ ( Antioxidant )    ต้านสารพิษที่ก่อมะเร็งต่างๆ ขับสารพิษในเลือด ลดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นปาก กลิ่นเท้า กลิ่นร่างกาย กลิ่นเหงื่อ

ลักษณะของ อัลฟัลฟ่า

            Alfalfa ( อัลฟัลฟ่า ) ชื่อทางพฤษศาสตร์ว่า Medicago satavia

( เมดิคาโก้ ซาติว่า ) เป็นพืชล้มลุกตระกูลถั่ว ลำต้นมีความสูงประมาณ 3 ฟุต ดอกสีม่วงแกมฟ้า พบมากในแถบเอเชีย และเขตรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เติบโตได้ในทุกอากาศทั่วโลก ในบางพื้นที่อัลฟัลฟ่า สามารถชอนไชรากได้ลึกถึง 130 ฟุต จึงดูดซึมธาตุอาหารได้มาก และบริสุทธิ์กว่าพืชชนิดอื่น ไม่สะสมสารพิษไว้ในต้น อีกทั้งยังให้สารคลอโรฟิลล์ในปริมาณที่สูงกว่าพืชชนิดอื่น หลายเท่าตัว

ราชาแห่งอาหารทั้งมวล

       ชาวอาหรับโบราณใช้ประโยชน์จาก อัลฟัลฟ่า กว่า 2,000 ปี ก่อนคริสตกาล แรกเริ่มนิยมใช้เป็นอาหารเลี้ยงม้า แต่เมื่อสังเกตว่า ม้ามีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง มีความว่องไวกว่าที่เคย จึงทดลองรับประทานอัลฟัลฟ่า ปรากฏว่า ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ไม่เหนื่อยอ่อนง่าย อีกทั้งยังช่วยในการขับปัสสาวะ ลดอาการปวดตามข้อกระดูกได้เป็นอย่างดี ด้วยคุณค่าดังกล่าว อัลฟัลฟ่า จึงถูกขนานนามว่า The Father of All Foods บิดาแห่งอาหารทั้งมวล

อัลฟัลฟ่า มีผลต่อสุขภาพ

     อัลฟัลฟ่า อุดมไปด้วยวิตามินมากมาย   โดยเฉพาะวิตามินเค แร่ธาตุต่างๆ  กรดอะมิโน

แคโรทินอยด์ เอ็นไซม์ และคลอโรฟิลล์  จึงช่วยบำรุงสุขภาพ ปรับสมดุลระดับฮอร์โมนไทโรโทรปิน ซึ่งมีผลเกี่ยวเนื่องกับการเกิดเนื้องอกในร่างกาย ลดระดับคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ ป้องกันการเป็นโรคไขข้ออักเสบ ป้องกันการเกิดพิษในระบบย่อยอาหารด้วยเอนไซม์และคลอโรฟิลล์ ส่งเสริมการทำงานของร่างกาย และลดปัญหาจากภาวะวัยทอง ป้องกันไขมันจับตัวที่ผนังหลอดเลือด เป็นต้น  

อนุมูลอิสระ คือ ..... ?

                อนุมูลอิสระ   คือ โมเลกุลที่มีอิเล็กตรอนไม่ครบคู่ จึงต้องไปแย่งชิงอิเล็กตรอนจากโมเลกุลที่ดี หรือมีคู่อยู่แล้ว เพื่อชดเชยส่วนที่ขาดหาย ส่วนโมเลกุลที่ดี เมื่อถูกแย่งชิงอิเล็กตรอนไป ก็จะกลายเป็นอนุมูลอิสระแทน แล้วไปแย่งชิงอิเล็กตรอนจากโมเลกุลอื่นต่อไป เป็นลูกโซ่ อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจะเป็นสารพิษต่อเชลล์ร่างกาย ถ้าในเชลล์มีอนุมูลอิสระมากจะไปทำลาย ดีเอนเอ เยื่อหุ้มเชลล์ และอื่นๆ จนเกิดความเสียหายต่อระบบต่างๆ ในร่างกายตามมา

อนุมูลอิสระ เกิดจากสาเหตุใด ..... ?

                จากกลไกลตามธรรมชาติในร่างกาย เช่น กระบวนการเผาผลาญอาหาร การหายใจ การออกกำลังกาย และการทำกิจกรรมต่างๆ

                จากตัวกระตุ้นนอกร่างกาย เช่น การติดเชื้อ มลพิษในอากาศ อาหารไหม้เกรียม ยาบางชนิด ( โดโซรูบิซิน เพนนิซิลามิน พาราเซทามอล ) เป็นต้น

        จากสาเหตุทั้งสองข้อ ข้างต้น จะสังเกตได้ว่า ไม่มีเวลาไหนไม่เกิดอนุมูลอิสระ

                ปัญหาร้ายแรงสำหรับสาวๆ ที่รักสวยรักงาม คือ ริ้วรอยก่อนวัย

รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า รอบดวงตา และผิวพรรณ นอกจากนี้อนุมูลอิสระยังเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด ต้อกระจก ความดันโลหิตสูง

 อัลไซเมอร์ เบาหวาน และที่ร้ายแรงที่สุดคือ โรคมะเร็ง

ตะลึง คนไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ชั่งโมงละ 6 คน ..... !

                คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่าข้อมูลตั้งแต่ปี 2548 – 2550 คนไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเป็นอันดับ 1 โดยเฉพาะในปี 2550 มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งสูงถึง 53,434 คน โดยเฉลี่ยในทุกๆ 1 ชั่วโมงจะมีผู้เสียชีวิต 6 คน ขณะที่ในปี 2551 พบคนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็งมากกว่า 120,000 คน

SOD ต้านอนุมูลอิสระอย่างเหนือชั้น

คือสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญของมนุษย์ เป็นกลไกแรกที่ช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ ให้แก่เชลล์ภายในร่างกาย

     การทำงานของ SOD คือ การเกิดปฏิกิริยาออกชิเดนชั่นและรีดักชั่นพร้อมกัน หรือที่เรียกกันในชื่อ Dismutation ( ดิสมิวเตชั่น ) ซึ่งจะมีผลขจัดอนุมูลอิสระโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซุปเปอร์ออกไซด์แอนไอออน เป็นอนุมูลอิสระชั้นเริ่มต้นในร่างกาย

      เอนไซด์ SOD จะทำการเปลี่ยนอนุมูลอิสระซุปเปอร์ออกไซด์แอนไอออนให้เป็นออกซิเจน และสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์จะถูกเอ็นไซม์คาตาเลส เปลี่ยนให้เป็นน้ำและออกซิเจนต่อไป

      ในร่างกายมนุษย์มีเอ็นไซม์ SOD สูง แต่จะเริ่มมีการสูญเสียไปเกือบครึ่ง เมื่อใกล้สู่อายุ 40 ปี สาเหตุจากสภาวะแวดล้อมเป็นพิษรอบๆตัว ภาวะอารมณ์ การเลือกรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ สิ่งเหล่านี้ทำให้เอ็นไซม์ SOD ลดลงขณะที่อนุมูลอิสระกลับเพิ่มมากขึ้น

      การลดลงของเอ็นไซม์ SOD สามารถสังเกตได้จากช่วงอายุ คือ เมื่อเรายังอยู่ในช่วง 20-30 ปี สุขภาพของเรายังรู้สึกแข็งแรงดี แต่เมื่อล่วงเข้าสู่ช่วงอายุ 40 ปีขี้นไป สุขภาพก็ย่ำแย่ จนสังเกตได้ ซึ่งนั่นมีผลมาจากการลดลงเป็นจำนวนมากของเอ็นไซม์ SOD

       สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกใช้ออกซิเจนเพื่อการดำรงชีวิต ซึ่งทำให้เกิดอนุมูลอิสระซุปเปอร์ออกไซด์แอนไอออนตามมา นี่คือเหตุผลว่า ทำไมสิ่งมีชีวิตรวมทั้งมนุษย์จึงต้องมีเอ็นไซม์ SOD ในร่างกาย งานวิจัยต่างๆ แสดงให้เห็นว่าเอ็นไซม์ SOD ช่วยปกป้องเชลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระได้ เช่น ป้องกันการเสียหายที่เกิดขึ้นกับ DNA โปรตีน ลิปิด และยังช่วยป้องกันความเสียหายของเชลล์ที่เกิดจากกัมมันตรังสีต่างๆ เช่น รังสีเอกซเรย์

2. สารสกัดจากชาแดงรอยบอส  (Rooibos Tea)

   บอกลา อนุมูลอิสระ ด้วย ชาไร้คาเฟอีน     Rooibos Tea ( ชารอยบอส )       

พืชเฉพาะถิ่นพบได้ที่เดียวในโลก คือ ประเทศแอฟริกาใต้ เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อ ชาแดง ( Red Tea ) เนื่องจากจะมีสีแดงสว่างหลังผ่านการหมัก เมื่อนำมาต้มก็จะได้น้ำสว่างสีแดงสดใส มีรสชาติออกหวานผลไม้ นุ่มลิ้น กลิ่นคล้ายถั่ว ดื่มง่าย และที่สำคัญคือ ปราศจากคาเฟอีน จึงเหมาะกับทุกเพศทุกวัย

สารต้านอนุมูลอิสระมากกว่า 37 ชนิด เช่น ฟลาโวนอยด์ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ คอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันตับจากสารพิษ ออริทีน ลูทีน

ควอซิทีน ลูทิโอลีน และเอ็นไซม์ SOD ( มากกว่าชาเขียว 50 เท่า ) ช่วยต่อต้านการเกิดโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น มะเร็ง การอุดตันในเส้นเลือด หัวใจวาย และยังช่วยดูแลสุขภาพผิว ลดเรือนริ้วรอย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส  แอสพาราติน และนอสโทรฟาจิน เพิ่มประสิทธิภาพให้แก่สารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่น เป็นต้น

  3. สารสกัดจากข้าวโพด มอนโตเดร็กซ์ติน (Moltodextrin)

Moltodextrin เป็นคาร์โบไฮเดรตที่เกิดขึ้นระหว่างการแตกตัว หรือการย่อยแป้งด้วยเอ็นไซม์ โดยทั่วไปใช้เป็นสารเติมแต่งรสชาติ และกลิ่นของอาหาร นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งพลังงานในเครื่องดื่มเสริมสุขภาพ เครื่องดื่มให้พลังงานสำหรับนักกีฬา

มอลโตเดกซ์ตริน มักอยู่ในรูปแบบผง ละลายน้ำได้ดี มีความคงตัวที่อุณหภูมิสูง   ไม่มีผลข้างเคียงกับระบบประสาทสัมผัส รสชาติหวานเล็กน้อย จึงมีการพัฒนานำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารต่างๆ เช่น เป็นสารทดแทนไขมันในครีม สลัดครีม เนยแข็ง และไอศกรีม เป็นสารทดแทนน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ช็อคโกแลต เพิ่มใยอาหารในผลิตภัณฑ์นม เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ขนมอบกรอบ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ เป็นต้น

คุณสมบัติเด่นของ Moltodextrin

เป็นสารเพิ่มความหวานในอาหาร ถูกย่อยและดูดซึมง่าย

ลดคอเลสเตอรอล ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มปริมาณใยอาหา และคุณค่าทางโภชนาการ เป็น พรีใบโอติก คือ เป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  ช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ชนิดดี เช่น แลคโตบาซิลลัส และ บิฟิโดแบคทีเรียม ในลำไส้ใหญ่ จึงลดอาการท้องผูก ลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ สร้างภูมิต้านทานเชื้อโรคในระบบทางเดินอาหาร การทำงาน และสุขภาพของระบบทางเดินอาหาร จึงดีขึ้นได้อย่างชัดเจน

ผลิตตภัณฑ์เสริมอาหาร เคเค บิวติ คลอรอยบอส

สารสกัดจาก ชารอยบอส โซเดียมคอบเปอร์ คลอโรฟิลล์  และมอลโตเดกซ์ตริน     

 1 กล่อง บรรจุ 30 ซอง  

ใช้ 1 ซอง ผสมน้ำดื่มได้ประมาณ 1.5-2  ลิตร หรือตามต้องการ ของผู้บริโภค

ควรใช้น้ำอุณหภูมิ ปกติ เพื่อให้คลอรอยบอสละลายน้ำได้ดียิ่งขึ้น  เมื่อเสร็จควรดื่มให้หมดภายใน 24 ชั่วโมง  แต่หลังชงเสร็จถ้าดื่มไม่หมดภายใน 1 วัน เก็บในตู้เย็น สามารถเก็บได้นานถึง 3 วัน